Latest Post
19:09
โรคตาแดงเป็นโรคตาที่พบได้บ่อย เป็นการอักเสบของเยื่อบุตา(conjuntiva)ที่คลุมหนังตาบนและล่างรวมเยื่อบุตาที่คลุมตาขาว โรคตาแดงอาจจะเป็นแบบเฉียบพลัน หรือแบบเรื้อรัง สาเหตุอาจจะเกิดจากเชื้อแบคทีเรีบ ไวรัส Chlamydia trachomatis ภูมิแพ้ หรือสัมผัสสารที่เป็นพิษต่อตา สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส มักจะติดต่อทางมือ ผ้าเช็ดหน้าหรือผ้าเช็ดตัวโดยมากใช้เวลาหาย 2 สัปดาห์ ตาแดงจากโรคภูมิแพ้มักจะเป็นตาแดงเรื้อรัง มีการอักเสบของหนังตา ตาแห้ง การใช้contact lens หรือน้ำยาล้างตาก็เป็นสาเหตุของตาแดงเรื้อรัง
อาการของโรคตาแดง
แพทย์จะถามถึงยาที่ท่านรับประทาน ยาหยอดตา เลนส์ น้ำยาล้างตา รยะเวลาที่เป็น อาการที่สำคัญคือ
5. ตามัว แม้ว่ากระพริบตาแล้วก็ยังมัวอยู่ โรคตาแดงมักจะเห็นปกติหากมีอาการตามัวร่วมกับตาแดงต้องปรึกษาแพทย์
6. ประวัติอื่น การเป็นหวัด การใช้ยาหยอดตา น้ำตาเทียม เครื่องสำอาง โรคประจำตัว ยาที่ใช้อยู่ประจำ
โรคตาแดงจากการติดเชื้อไวรัส
เชื้อที่เป็นสาเหตุได้แก่ adenovirus มักจะระบาดในชุมชน โรงเรียน ที่ทำงาน การติดต่อมักจะติดต่อโดยการสัมผัสทางมือ เครื่องมือ สระว่ายน้ำ
อาการที่สำคัญคือตาแดงเฉียบพลัน น้ำตาไหล เยื่อบุตาบวม ต่อมน้ำเหลืองหน้าหูโต เคืองตาเล็กน้อย บางรายอาจจะมีเลือดออกที่ตาขาว อาจจะเป็นข้างใดข้างหนึ่งก่อนแล้วค่อยลามมาอีกข้างหนึ่ง
เนื่องจากโรคนี้ติดต่อโดยการสัมผัสจึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงสัมผัสกับคนอื่นเป็นเวลา 7 วันนับตั้งแต่เกิดอาการ การรักษาเป็นเพียงประคับประคองโดยการประคบเย็น ยาหยอดตา ยาปฏิชีวนะไม่มีความจำเป็นต้องใช้ ไม่ควรใช้ยาที่มีส่วนผสมของ steroid เพราะจะทำให้หายช้า
ตาแดงจากโรคภูมิแพ้ Allergic Conjunctivitis
เกิดจากการได้รับสารภูมิแพ้จากอากาศ มักจะเป็นฤดูกาล มักจะเป็นสองข้างมีอาการคันตาเคืองตา น้ำตาไหล ตาแดงตาบวม การรักษาต้องหลีกเลี่ยงสารภูมิแพ้ ประคบเย็น ยาหยอดตาแก้แพ้ ยาหยอดตาลดการอักเสบ ยาแก้แพ้ชนิดรับประทาน
ตาแดงจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Bacterial Conjunctivitis
ตาแดงจากเชื้อแบคทีเรียมักจะเป็นอย่างรวดเร็วและรุนแรง โดยเริ่มต้นมีขี้ตาเป็นหนอง ตาแดงอย่างรวดเร็ว กดตาจะเจ็บ เคืองตามาก ตาบวม หนังตาบวม เชื้อที่เป็นสาเหตุคือเชื้อหนองใน N. gonorrhoeae และเชื้อไข้กาฬหลังแอ่น Neisseria meningitidis ตาแดงจากเชื้อหนองในมักจะเกิดในเด็กทารกมักจะเกิดภายใน 3-5 วันหลังจากคลอดโดยได้รับเชื้อจากแม่ขณะคลอด การรักษาต้องหยอดตาด้วยยาปฏิชีวนะ ล้างตาด้วยน้ำเกลือ ยาปฏิชีวนะชนิดฉีด ceftriaxone ciprofloxacin Spectinomycin
สำหรับเด็กตาแดงที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียมักจะเป็นเชื้อ Streptococcus pneumoniae, Haemophilus influenzae ส่วนผู้ใหญ่จะเป็นเชื้อ Staphylococcus aureus อาการของตาแดงจะมีความรุนแรงน้อยกว่าเชื้อหนองใน จะมีอาการเคืองตา น้ำตาไหล มีขี้ตาเขียว ตาบวม หนังตาบวม
การวินิจฉัยสามารถทำได้โดยการเก็บหนองมาย้อมและเพาะเชื้อ
การรักษาต้องเลือกยาปฏิชีวนะที่ครอบคลุมเชื้อที่เป็นสาเหตุยาที่นิยม ได้แก่ erythromycin ointment และ bacitracin-polymyxin B ointment หรือ trimethoprim-polymyxin B ,gentamicin (Garamycin), tobramycin (Tobrex) neomycin,10 percent sulfacetamide solution
ตาแดงเรื้อรังจากเชื้อแบคทีเรีย
สาเหตุเกิดจากเชื้อ staohylococcus ผู้ป่วยจะมีอาการเคืองตาร้อนในตา รู้สึกเหมือนมีขี้ผงในตา มีสะเก็ดเกาะตาในตอนเช้า มักจะมีหนังตาอักเสบ หรือมีตากุ้งยิงเป็นๆหายๆ การรักษาต้องดูแลความสะอาดของตาให้ดี ประคบอุ่นที่ขอบเปลือกตา หยอดยาปฏิชีวนะที่เหมาะสม
ตาแดงจากเชื้อ Chlamydial
เด็กจะได้เชื้อนี้จากช่องคลอด ส่วนผู้ใหญ่จะได้รับเชื้อนี้จากสารหลังจากช่องคลอด ผู้ป่วยจะมีอาการเคืองตา ตาแดง ขี้ตาเป็นหนองโดยมากเป็นข้างเดียวหรืออาจจะเป็นสองข้าง การรักษาจะใช้ยากลุ่ม tetracyclin หรือ erythromycin เป็นเวลาสองสัปดาห์
การตรวจร่างกาย
โรคตาแดง
Written By โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล บ้านคลองน้อย on วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2557 | 19:09
อาการของโรคตาแดง
แพทย์จะถามถึงยาที่ท่านรับประทาน ยาหยอดตา เลนส์ น้ำยาล้างตา รยะเวลาที่เป็น อาการที่สำคัญคือ
- คันตา เป็นอาการที่สำคัญของผู้ป่วยตาแดงที่เกิดจากภูมิแพ้ อาการคันอาจจะเป็นมากหรือน้อย คนที่เป็นโรคตาแดงโดยที่ไม่มีอาการคันไม่ใช่เกิดจากโรคภูมิแพ้ นอกจากนั้นอาจจะมีประวัติภูมิแพ้ในครอบครัวเช่นหอบหืด ผื่นแพ้
- ขี้ตา ลักษณะของขี้ตาก็ช่วยบอกสาเหตุของโรคตาแดง
- ขี้ตาใสเหมือนน้ำตามักจะเกิดจากไวรัสหรือโรคภูมิแพ้
- ขี้ตาเป็นเมือกขาวมักจะเกิดจากภูมิแพ้หรือตาแห้ง
- ขี้ตาเป็นหนองมักจะร่วมกับมีสะเก็ดปิดตาตอนเช้าทำให้เปิดตาลำบากสาเหตุมักจะเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย
- เป็นพร้อมกันสองข้างโดยมากมักจะเกิดจากภูมิแพ้
- เป็นข้างหนึ่งก่อนแล้วค่อยเป็นสองข้างสาเหตุเกิดจากการติดเชื้อเช่นแบคทีเรีย ไวรัส หรือ Chlamydia
- ผู้ที่มีโรคตาแดงข้างเดียวแบบเรื้อรัง ชนิดนี้ต้องส่งปรึกาแพทย์
5. ตามัว แม้ว่ากระพริบตาแล้วก็ยังมัวอยู่ โรคตาแดงมักจะเห็นปกติหากมีอาการตามัวร่วมกับตาแดงต้องปรึกษาแพทย์
6. ประวัติอื่น การเป็นหวัด การใช้ยาหยอดตา น้ำตาเทียม เครื่องสำอาง โรคประจำตัว ยาที่ใช้อยู่ประจำ
โรคตาแดงจากการติดเชื้อไวรัส
เชื้อที่เป็นสาเหตุได้แก่ adenovirus มักจะระบาดในชุมชน โรงเรียน ที่ทำงาน การติดต่อมักจะติดต่อโดยการสัมผัสทางมือ เครื่องมือ สระว่ายน้ำ
อาการที่สำคัญคือตาแดงเฉียบพลัน น้ำตาไหล เยื่อบุตาบวม ต่อมน้ำเหลืองหน้าหูโต เคืองตาเล็กน้อย บางรายอาจจะมีเลือดออกที่ตาขาว อาจจะเป็นข้างใดข้างหนึ่งก่อนแล้วค่อยลามมาอีกข้างหนึ่ง
เนื่องจากโรคนี้ติดต่อโดยการสัมผัสจึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงสัมผัสกับคนอื่นเป็นเวลา 7 วันนับตั้งแต่เกิดอาการ การรักษาเป็นเพียงประคับประคองโดยการประคบเย็น ยาหยอดตา ยาปฏิชีวนะไม่มีความจำเป็นต้องใช้ ไม่ควรใช้ยาที่มีส่วนผสมของ steroid เพราะจะทำให้หายช้า
เกิดจากการได้รับสารภูมิแพ้จากอากาศ มักจะเป็นฤดูกาล มักจะเป็นสองข้างมีอาการคันตาเคืองตา น้ำตาไหล ตาแดงตาบวม การรักษาต้องหลีกเลี่ยงสารภูมิแพ้ ประคบเย็น ยาหยอดตาแก้แพ้ ยาหยอดตาลดการอักเสบ ยาแก้แพ้ชนิดรับประทาน
ตาแดงจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Bacterial Conjunctivitis
ตาแดงจากเชื้อแบคทีเรียมักจะเป็นอย่างรวดเร็วและรุนแรง โดยเริ่มต้นมีขี้ตาเป็นหนอง ตาแดงอย่างรวดเร็ว กดตาจะเจ็บ เคืองตามาก ตาบวม หนังตาบวม เชื้อที่เป็นสาเหตุคือเชื้อหนองใน N. gonorrhoeae และเชื้อไข้กาฬหลังแอ่น Neisseria meningitidis ตาแดงจากเชื้อหนองในมักจะเกิดในเด็กทารกมักจะเกิดภายใน 3-5 วันหลังจากคลอดโดยได้รับเชื้อจากแม่ขณะคลอด การรักษาต้องหยอดตาด้วยยาปฏิชีวนะ ล้างตาด้วยน้ำเกลือ ยาปฏิชีวนะชนิดฉีด ceftriaxone ciprofloxacin Spectinomycin
สำหรับเด็กตาแดงที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียมักจะเป็นเชื้อ Streptococcus pneumoniae, Haemophilus influenzae ส่วนผู้ใหญ่จะเป็นเชื้อ Staphylococcus aureus อาการของตาแดงจะมีความรุนแรงน้อยกว่าเชื้อหนองใน จะมีอาการเคืองตา น้ำตาไหล มีขี้ตาเขียว ตาบวม หนังตาบวม
การวินิจฉัยสามารถทำได้โดยการเก็บหนองมาย้อมและเพาะเชื้อ
การรักษาต้องเลือกยาปฏิชีวนะที่ครอบคลุมเชื้อที่เป็นสาเหตุยาที่นิยม ได้แก่ erythromycin ointment และ bacitracin-polymyxin B ointment หรือ trimethoprim-polymyxin B ,gentamicin (Garamycin), tobramycin (Tobrex) neomycin,10 percent sulfacetamide solution
ตาแดงเรื้อรังจากเชื้อแบคทีเรีย
สาเหตุเกิดจากเชื้อ staohylococcus ผู้ป่วยจะมีอาการเคืองตาร้อนในตา รู้สึกเหมือนมีขี้ผงในตา มีสะเก็ดเกาะตาในตอนเช้า มักจะมีหนังตาอักเสบ หรือมีตากุ้งยิงเป็นๆหายๆ การรักษาต้องดูแลความสะอาดของตาให้ดี ประคบอุ่นที่ขอบเปลือกตา หยอดยาปฏิชีวนะที่เหมาะสม
ตาแดงจากเชื้อ Chlamydial
เด็กจะได้เชื้อนี้จากช่องคลอด ส่วนผู้ใหญ่จะได้รับเชื้อนี้จากสารหลังจากช่องคลอด ผู้ป่วยจะมีอาการเคืองตา ตาแดง ขี้ตาเป็นหนองโดยมากเป็นข้างเดียวหรืออาจจะเป็นสองข้าง การรักษาจะใช้ยากลุ่ม tetracyclin หรือ erythromycin เป็นเวลาสองสัปดาห์
การตรวจร่างกาย
- คุณลองคลำต่อมน้ำเหลืองรอบหู หากคลำได้อาจจะเป็นโรคติดเชื้อไวรัส หรือจากสัมผัสสารระคายเคือง ส่วนเชื้อแบคทีเรียมักจะคลำไม่ได้ต่อมน้ำเหลือง
- ในรายที่เป็นไม่มากไม่ต้องตรวจอะไรเพิ่มเติม
- ในรายที่เป็นรุนแรง เป็นๆหายๆ หรือเป็นเรื้อรังควรจะต้องตรวจเพาะเชื้อจากขี้ตา
- การนำขี้ตามาย้อมหาตัวเชื้อก็พอจะบอกสาเหตุของโรคตาแดง
การป้องกันโรคตาแดง
- อย่าใช้เครื่องสำอางร่วมกับคนอื่น
- อย่าใช้ผ้าเช็ดหน้าหรือผ้าเช็ดตัวร่วมกัน
- ล้างมือบ่อยๆ อย่าเอามือเข้าตา
- ใส่แว่นตากันถ้าต้องเจอสารเคมี
- อย่าใช้ยาหยอดตาของผู้อื่น
- อย่าว่ายน้ำในสระที่ไม่ได้ใส่คลอรีน
- ยาเมื่อไม่ได้ใช้ให้ทิ้ง
- อย่าสัมผัสมือ
- เช็ดลูกบิดด้วยน้ำสบู่เพื่อฆ่าเชื้อโรค
การักษาตาแดงด้วยตนเอง
- ประคบเย็นวันละ 3-4 ครั้ง ครั้งละ10-15 นาที
- ล้างมือบ่อยๆ
- อย่าขยี้ตาเพราะจะทำให้ตาระคายมากขึ้น
- ใส่แว่นกันแดด หากมองแสงสว่างไม่ได้
- อย่าใส่ contact lens ช่วยที่มีตาแดง
- เปลี่ยนปลอกหมอนทุกวัน เปลี่ยนหมอนทุก 2 วัน
หากมีอาการต่อไปนี้ให้รีบพบแพทย์
- ตามัวลง
- ปวดตามากขึ้น
- กรอกตาแล้วปวด
- ไข้
- ให้ยาไปแล้ว 48 ชั่วโมงไม่ดีขึ้น
- น้ำตายังไหลอยู่แม้ว่าจะได้ยาครบแล้ว
- แพ้แสงอย่างมาก
การหยอดยาหยอดตา
- ล้างมือก่อนหยอดตาทุกครั้ง
- ดึงหนังตาล่างลง
- ตาเหลือกมองเพดาน
- หยอดตาตรงกลางเปลือกตาล่าง
- ปิดตาและกรอกตาไปมาเพื่อให้ยากระจาย การหยอดครีมให้หยอดจากหัวตาบีบไปปลายตา ปิดตาและกรอกตาไปมา
- เช็ดยาที่ล้นออกมา
- ล้างมือหลังหยอดเสร็จ
ป้ายกำกับ:
โรคน่ารู้
00:55
สรุปโครงการและการใช้จ่ายงบประมาณ อสม. 2557
Written By โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล บ้านคลองน้อย on วันศุกร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2557 | 00:55
ป้ายกำกับ:
กิจกรรม
00:53
กินเจอย่างปลอดภัย
เข้าสู่ช่วงเทศกาล 'กินเจ" มาได้ระยะหนึ่งแล้ว และก็อย่างที่ทราบๆ กันว่าสำหรับในประเทศไทยนั้นเทศกาลกินเจนี่ก็มี "กระแสคึกคักไม่เบา" เหมือนกัน มี 'คนไทยให้ความสนใจกันไม่น้อย" กับการกินเจ ทั้งด้วยความเชื่อเรื่องการได้บุญและมีความคาดหวังเรื่องสุขภาพ
กับเรื่อง "บุญ" ก็จะมีการยึดโยงกับการที่ไม่กินอาหารต่าง ๆ ที่มีที่มาจากสัตว์อย่างไรก็ตาม ก็อย่างที่บรรดาผู้สันทัดกรณีชี้กันไว้ ว่า การกินเจให้ได้บุญได้กุศลอย่างถึงพร้อม จะต้องเป็นไปในรูปแบบการ "ถือศีล-กินเจ"
ขณะที่กับเรื่อง "สุขภาพ" นั้น การกินเจให้ได้ประโยชน์ด้านสุขภาพ ก็ใช่ว่าจะยึดโยงแค่ไม่กินอาหารที่มีที่มาจากสัตว์แค่กินผัก หากแต่ต้อง "กินอย่างถูกต้อง-กินอย่างเหมาะสม" ไม่เช่นนั้นอาจจะเสียสุขภาพก็ได้
ทั้งนี้ อาหารเจ วัตถุดิบที่ใช้ปรุงต้องปลอดภัย ปรุงถูกหลักเจ และกินถูกหลักเจจริงๆ จึงจะถือว่าเป็นอาหารที่ปรุงและกินตามหลักเวชศาสตร์และเภสัชศาสตร์โบราณของจีน"...ผู้สันทัดกรณีชี้ไว้ ซึ่งก็น่าพิจารณา เพราะอาจยังมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่คิดว่าเมื่อเป็นอาหารเจก็กินได้หายห่วงเรื่องปัญหาสุขภาพ ซึ่งอาจจะไม่ใช่ ยิ่งถ้าเป็นการซื้อมากิน แล้วคนที่ปรุงขายไม่ได้ใส่ใจความปลอดภัยของผู้บริโภค ก็ยิ่งไปกันใหญ่
อีกทั้งยังมีผู้เชี่ยวชาญชี้ไว้ว่า ปัจจุบันการกินอาหารเจของผู้คนบางส่วนกลายเป็นการกินแป้งมากกว่าผัก กินอาหารรสหวาน ปรุงจากการทอด ผัด ซึ่งมีไขมันมาก จึงทำให้อาจจะมีปัญหาสุขภาพ เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหัวใจ ซึ่งใครที่เป็นโรคเหล่านี้อยู่แล้วยิ่งต้องระวังอาการกำเริบ
ว่ากันถึงเรื่อง "สุขภาพ" กับการกิน "อาหาร" บางคนอาจจะคิดว่าการกินอาหารเจนั้นอาจจะมีผลให้ร่างกายต้องขาดสารอาหาร จนทำให้เสียสุขภาพ แต่จริง ๆ แล้วการขาดสารอาหาร การเสียสุขภาพจากการกินนั้น มีโอกาสเกิดได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นในผู้ที่กินเจหรือไม่ได้กินเจ หากไม่ได้ใส่ใจหรือไม่ได้มีการระมัดระวัง
ภัยจากการกินอาหาร
กล่าวสำหรับการกินเจ การกินอาหารเจไม่เพียงมีกรณี "พืชผักฉุน 5 ประเภทที่ต้องห้าม" คือ 1.กระเทียม (หมายรวมถึงหัวกระเทียม ต้นกระเทียม) 2.หัวหอม (หมายรวมถึงต้นหอม ใบหอม หอมแดง หอมขาว หอมหัวใหญ่) 3.หลักเกียว (กระเทียมโทนจีน ลักษณะคล้ายหัวกระเทียม แต่มีขนาดเล็กและยาวกว่า) 4 กุยช่าย(คล้ายใบหอม แต่แบนและเล็กกว่า) 5.ใบยาสูบ (หมายรวมถึงบุหรี่ ยาเส้น ของสิ่งเสพติดมึนเมา)
ซึ่ง 5 ประเภทนี้มีรสหนัก กลิ่นรุนแรง มีผล "ทำลายพลังธาตุทั้ง 5" ทำให้พลังธาตุในกายรวมตัวกันได้ยาก มีผลต่อการทำงานของอวัยวะหลักสำคัญภายในร่างกาย มีฤทธิ์กระตุ้นจิตใจอารมณ์ให้ร้อนแรง ขัดกับการถือศีล-กินเจ...
กับการ 'ใส่ใจการเลือกกิน" กรณีนี้ก็ 'สำคัญสำหรับการ กินเจ" ซึ่งก็มีคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ-ผู้สันทัดกรณี โดยสังเขปคือ...การกินเจที่ถูกสุขอนามัย นอกจากพืชผักแล้วก็ควรต้อง "กิน ผลไม้สด" ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลังอาหารทุกมื้ออย่างสม่ำเสมอ ควร "กินผักและผลไม้ให้ครบ 5 สี 5 ธาตุ" สลับเปลี่ยนหมุนเวียนในแต่ละวันคือ...1.สีแดง (แดงส้ม แสด ชมพู) ธาตุไฟ 2.สีดำ (น้ำเงิน ม่วง) ธาตุน้ำ 3.สีเหลือง (เหลืองแก่ เหลืองอ่อน) ธาตุดิน 4.สีเขียว (เขียวเข้ม เขียวอ่อน) ธาตุไม้ 5.สีขาว (ขาวนวล ขาวสะอาด) ธาตุโลหะ
และควร กินเมล็ดธัญพืช รวมถึง กินพืชที่เป็นหัวในดิน เช่น เผือก มัน กลอย ควร กินถั่ว ซึ่งมีคุณค่าโภชนาการสูง โดยถั่วจะมีสารอาหารทั้งคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน วิตามิน เกลือแร่ คนที่กินเจควรกินถั่วทั้ง 5 สีเป็นประจำ ซึ่งถั่วแดง ดีต่อหัวใจ, ถั่วดำ ดีต่อไต, ถั่วเหลือง ดีต่อม้าม, ถั่วเขียว ดีต่อตับ, ถั่วขาว ดีต่อปอด
นอกจากนี้ ควรกินสาหร่ายทะเล ทั้งสดและแห้ง พร้อมทั้ง ใช้เกลือทะเลปรุงอาหาร โดย 2 อย่างนี้มีไอโอดีน ซึ่งสามารถป้องกันโรคคอพอกได้เป็นอย่างดี อีกทั้งควรต้อง กินอาหารหรือขนมที่ใส่งาขาวและงาดำ โดยในเมล็ดงามีกรดไขมันไลโนเลอิคที่จำเป็นต่อร่างกายมาก และร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้
ไม่เท่านั้น ไม่ควรกินรสจัดเกินไป เพราะรสขมจัด ส่งผลเสียต่อหัวใจ, รสเค็มจัด ส่งผลเสียต่อไต, รสหวานจัด ส่งผลเสียต่อม้าม, รสเปรี้ยวจัด ส่งผลเสียต่อตับ, รสเผ็ดจัด ส่งผลเสียต่อปอด อีกทั้งควรต้อง "เลี่ยงการกินอาหารหมักดอง" ไม่ว่าจะเป็นผักดอง ผลไม้ดอง ควรกินแต่อาหารสดที่ปรุงใหม่ ขณะที่ในส่วนของเครื่องดื่ม ควร "ดื่มน้ำผลไม้สด" ที่ดีต่อร่างกาย และ "ดื่มน้ำสะอาดวันละอย่างน้อย 8 แก้ว" เป็นประจำ
ทั้งนี้ ประเด็นสำคัญที่อาจทำให้อาหารเกิดพิษภัยกับร่างกาย คือการกินตามใจ เลือกกินแต่อาหารชนิดที่ชอบไม่คำนึงถึงสิ่งที่จะเกิดจากการกินอาหาร ซึ่งกับการ 'กินเจ" การเลือก 'ซื้ออาหารเจมากิน" นั้น ทางหน่วยงานด้านสาธารณสุขก็ได้เคยแนะนำไว้ สรุปได้ว่า...อาหารเจในยุคปัจจุบันมีหลากหลายรูปแบบ การจะกิน การจะซื้อมากิน ควรต้องคำนึงถึงคุณค่า ความสะอาดปลอดภัย เพื่ออนามัยที่ดี
'กินเจ" ก็ต้อง 'ไม่มองข้ามความปลอดภัย "กลัวกรณี 'กินเป็นภัย" กันไว้ด้วยก็จะดี!!!.
ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
ป้ายกำกับ:
บทความสุขภาพ
22:37
โรคหัวใจ อีกหนึ่งโรคที่คุณควรระวัง เพราะในประเทศไทยปีหนึ่งๆ มีคนเสียชีวิตจากโรคหัวใจเป็นจำนวนมาก การดูแลสุขภาพให้ห่างไกลจากโรคหัวใจจึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับคุณเลยทีเดียว ยิ่งค้าคุณเป็นคนนอนไม่เพียงพอ
การนอนก็ช่วยให้ห่างไกลจากโรคหัวใจ
Written By โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล บ้านคลองน้อย on วันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2557 | 22:37
โรคหัวใจ อีกหนึ่งโรคที่คุณควรระวัง เพราะในประเทศไทยปีหนึ่งๆ มีคนเสียชีวิตจากโรคหัวใจเป็นจำนวนมาก การดูแลสุขภาพให้ห่างไกลจากโรคหัวใจจึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับคุณเลยทีเดียว ยิ่งค้าคุณเป็นคนนอนไม่เพียงพอ
การนอนก็ช่วยให้คุณ ห่างไกลจากโรคหัวใจได้
สาเหตุหนึ่งของโรคหัวใจที่คุณป้องกันได้ ไม่ได้มีเพียงแค่เรื่องอาหารการกิน หรือการงดสูบบุหรี่ ดื่มแอลกฮอลล์แต่พอเหมาะเท่านั้น
งานวิจัยใน European Journal of Preventive Cardiology คอนเฟิร์มว่า เรื่องของการนอนหลับพักผ่อนก็มีส่วนไม่น้อย โดยการพักผ่อนอย่างเพียงพอ คืนละมากกว่า 7 ชั่วโมง จะลดความเสี่ยงโรคหัวใจวายลงถึง 65% ของโรคร้ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบหัวใจและหลอดเลือดก็จะมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยลงถึง 83%แต่ถ้าคุณนอนไม่พอบ่อยๆ ความเสี่ยงโรคนี้ก็พุงขึ้นไปสูงพอๆ กับสูบหรี่จัดเลยล่ะ
ป้ายกำกับ:
บทความสุขภาพ